วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

มทบ.41 เข้าตรวจสอบข้อพิพาทที่ดิน

วันนี้ 26 มกราคม 2560 เวลา 10.00น. ที่ห้องประชุมเทศบาลตำบลสิชล อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช พลตรีอาคม พงศ์พรหม ผบ.มทบ.41 / ผบ.ควบคุม มทบ.41 พร้อมด้วยนายสกล จันทรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นายวีระพรรณ สุขะวัลลิ ปลัดอาวุโสอำเภอสิชล พ.ต.ประเสริฐ สายทองแท้ ผบ.ค่ายรบพิเศษสิชล พ.ต.อ.โชคดี รักษ์วัฒนพงษ์ ผกก.สภ.สิชล ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่ข้อพิพาทที่ดินเกี่ยวข้องอีกหลายหน่วยงาน

ได้ร่วมกันฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินการช่วยเหลือชาวบ้าน โดยมี พ.ท.ดุสิต เกษรแก้ว หัวหน้าชุดฉก.แก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ มทบ.44 เป็นผู้บรรยายสรุปว่าข้อพิพาทที่ดินมีพื้นที่ประมาณ 20กว่าไร่ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่จริงพร้อมด้วยอีกหลายหน่วยงานร่วมกันพิสูจน์ซึ่งสรุปตรงกันว่าพื้นที่พิพาทนี้เป็นพื้นที่ป่าชายเลนจริง และจะส่งเรื่องทั้งหมดผ่านศูนย์ดำรงธรรมอำเภอสิชลเพื่อส่งต่อให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.) ส่วนกลาง พิจารณาดำเนินการในการรื้อถอนสิทธิ์ต่อไป ซึ่งหากคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.)เห็นสมควร หรือไม่เห็นสมควรในการรื้อถอนสิทธิ์ ทางเจ้าหน้าที่ทหารและอีกหลายหน่วยงานก็จะต้องเตรียมการหาทางช่วยเหลือชาวบ้านกลุ่มนี้ต่อไป


จากกรณีที่ชาวบ้าน บ้านในลุ่ม ม.3 ต.สิชล อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช เหมารถบัสบุกถึงสำนักนายกรัฐมนตรีร้องขอความช่วยเหลือเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เรื่องถูกนายทุนออกเอกสารที่ดินทับที่อยู่อาศัย75 ครัวเรือน ชาวบ้านอาศัยกว่า 380คน ชาวบ้านกล่าวว่าที่ดินที่ชาวบ้านอาศัยอยู่เดิมเป็นเกาะกลางเล็กๆของปากน้ำสิชล ซึ่งอาศัยมากว่า 40 ปี แล้ว ซึ่งตอนหลังทางเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าได้ดูดทรายในลำคลองที่ตื้นเขินแล้วนำมาถมที่บริเวณที่ชาวบ้านอยู่ทำให้มีพื้นที่เกาะขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยจนกระทั่งมีพื้นที่มาเชื่อมต่อกับที่ดินของนายทุนที่อยู่ริมลำคลองทำให้เกิดปัญหาเรื่องเขตแดนและความไม่ชัดเจน

จนกระทั่งมีปัญหากันมาตลอด ไฟฟ้า ประปา ก็ไม่สามารถเดินท่อผ่านได้ เพราะนายทุนไม่ให้ผ่านเส้นทาง ชาวบ้านได้ร้องเรียนไปหลายหน่วยงานแล้วแต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนจนปล่อยให้ยืดเยื้อมานานหลายสิบปีจนถึงปัจจุบัน

และเมื่อกลางปี60ที่ผ่านมา ชาวบ้านเข้าขอความช่วยเหลือจาก พ.ต.ประเสริฐ สายทองแท้ ผู้บังคับกองร้อยฝึกรบพิเศษสิชล และได้มีดำเนินการเชิญหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้ลงพื้นที่ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา จนกระทั่งเมื่อประมาณ 2เดือนที่ผ่านมา สำนักงานที่ดินสาขาสิชลซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงได้มารังวัดพื้นที่ใหม่แล้ว และยืนยันว่าเอกสารสิทธิ์ของนายทุนได้มาถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจ จึงได้รวมตัวกันเดินทางไปสำนักนายกรัฐมนตรีขอวอนให้นายกฯ ช่วยลงมาช่วยเหลือ

โดยชาวบ้านมีหลักฐาน ที่ชัดเจน จากภาพถ่ายทางอากาศ และแผนที่ระบุว่าที่เป็นเกาะกลางน้ำจริง ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา พลตรีพรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ รองแม่ทัพภาคที่4 ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายแผนที่กองทัพภาคที่4 มทบ.41. มทบ.44 และค่ายฝึกการรบพิเศษสิชลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ

และจากนั้นถัดมาอีก2วันก็ได้มี น.ส.สุธีย์ ญาณชโรทร ผู้ตรวจราชการกรมที่ดินเขต 11 พร้อมคณะสำนักงานกรมที่ดินส่วนกลาง ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องนี้

ต่อมานายเศกสรรค์ กังสะวิบูลย์ ได้มอบอำนาจจาก นายทศวร ทิพยมงคล ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้ ได้เดินทางพร้อมนำเอกสารเกี่ยวที่ดินแปลงนี้ทั้งหมดเข้าชี้แจงขอความเป็นธรรมกับศูนย์ข่าวนคร 24 ชั่วโมง สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช และกองทัพภาคที่4 ที่ค่ายฝึกการรบพิเศษสิชล 

นายเศกสรรค์ กล่าวว่าขอยืนยันว่าที่ดินไม่ได้เป็นของนายทุนตามที่ถูกชาวบ้านกล่าวอ้าง ที่ดินแปลงนี้เป็นสมบัติของนายทศวร จำนวน 73 ไร่ ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษมาจากรุ่นสู่รุ่นตกทอดเป็นรุ่นที่3 แล้ว ตั้งแต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์มีการครอบครองตั้งแต่สมัยรัชกาลที่6 ซึ่งเดิมที่มีที่ดินทั้งหมดเกือบ 300ไร่ บริเวณปากน้ำสิชล จนปัจจุบันมีการแบ่งแยกกันในบรรดาพี่น้องด้วยกัน ที่ดินแปลงนี้ไม่เคยถูกระบุว่าเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ เริ่มมีเอกสารสิทธิ์ครั้งแรกตั้งแต่ ปี 2498 ซึ่งได้เอกสารสิทธิ์มาก่อนที่กลุ่มชาวบ้านกลุ่มนี้มาอาศัยอยู่ก่อนอีก

นายเศกสรรค์ ขอยืนยันว่าที่ดินไม่มีเกาะกลาง ที่ดินเป็นผืนเดียวกันทั้งหมดแต่พอน้ำทะเลขึ้นสูงท่วมตรงบางจุดก็จะเห็นว่าเหมือนว่ามีเกาะกลางแต่พอน้ำลดก็จะเห็นชัดเจนทั้งแปลง ในสมัยก่อนชาวบ้านที่มาอาศัยอยู่ริมคลองเพียงไม่กี่คนจนกระทั่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มชาวบ้านที่มีปัญหามีประมาณ 70 คนเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ญาติของชาวบ้านกลุ่มนี้มีความสนิทสนมกับคนดูแลที่ดินแปลงนี้มาก่อน

จนกระทั่งเจ้าของที่ดินมีการเปลี่ยนคนดูเป็นคนใหม่และได้เรียกเก็บเงินจากชาวบ้านกลุ่มนี้ชาวบ้านจึงรวมตัวกันต่อต้านไม่ยอมจ่ายเงิน และกลุ่มชาวบ้านแทบทั้งหมดนี้จะเป็นญาติพีน้องกัน ส่วนชาวบ้านที่เหลือก็จ่ายค่าเช่ากันตามปกติ จึงได้เดินทางมาขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชนและทหารกองทัพภาคที่4



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น